อุทิศแด่คุณค่าแห่งการผลิตในอิตาลี (Made in Italy) ที่ช่างอัญมณีชั้นสูงแห่งโรมัน (Roman High Jeweler) ได้ขยายระบบนิเวศการสร้างสรรค์อันมีเอกลักษณ์เฉพาะด้านนวัตกรรม การส่งต่อความรู้ความเชี่ยวชาญ และความยั่งยืนของงานช่างทองอิตาลีที่มีชื่อเสียง ณ วาเลนเซีย ด้วยโครงการที่มุ่งหน้าสู่ความสำเร็จในอนาคตด้วยเป้าหมายของการเสริมกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี ค.ศ. 2029 หรือเป็นสี่เท่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 ผ่านการลงทุนกับความเชี่ยวชาญของศิลปินช่างฝีมือผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์และความสามารถในหลากหลายเจเนอเรชัน รวมถึงการก่อตั้ง สคูโอลา บุลการี (Scuola Bvlgari) ในฐานะศูนย์การศึกษาแห่งแรกของเมซงที่เปิดกว้างสำหรับสาธารณชนทั่วไป
วาเลนเซีย, วันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 2025 – บุลการี (Bvlgari) เปิดส่วนต่อขยายใหม่ของโรงงานผลิตในวาเลนเซีย ทำให้ปัจจุบันโรงงานแห่งนี้นับเป็นโรงงานผลิตเครื่องประดับอัญมณีสำหรับแบรนด์เดียวขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และยังเป็นตัวอย่างอันล้ำเลิศของความยั่งยืนที่ไม่ใช่เพียงจากโครงสร้างของโรงงาน แต่ยังรวมถึงรูปแบบของกระบวนการผลิต ด้วยพื้นที่ที่ขยายออกไปครอบคลุมเกือบ 19,000 ตารางเมตร ส่งผลให้ ณ ปัจจุบัน “แมนิแฟตทูรา บุลการี (Manifattura Bvlgari)” มีขนาดถึง 33,000 ตารางเมตร ซึ่งทำให้สามารถจ้างงานช่างฝีมือใหม่ได้มากกว่า 500 คน ภายในปี ค.ศ. 2029 จึงนับเป็นโอกาสอันดีสำหรับศิลปินช่างฝีมือในปัจจุบันรวมทั้งช่างฝีมือเจเนอเรชันใหม่ ๆ ในอนาคต ที่จะเข้ามาสืบทอดอัจฉริยภาพและงานหัตถศิลป์อันทรงคุณค่าของ Made in Italy
ความยั่งยืนนับเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของโครงการนี้ โดยโครงการนี้อาศัยแหล่งพลังงานหมุนเวียนเพื่อให้มั่นใจได้ว่ากระบวนการผลิตของส่วนต่อขยายมีความเป็นกลางทางคาร์บอนอย่างยั่งยืน โรงงานแห่งนี้ยังจะเป็นที่ตั้งของ สคูโอลา บุลการี แห่งใหม่ซึ่งเป็นโรงเรียนฝึกสอนของบุลการีที่เปิดกว้างสำหรับสาธารณชนทั่วไปเป็นแห่งแรก โดยโรงเรียนแห่งนี้มุ่งเน้นการสอนในสาขาเครื่องประดับอัญมณี ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของ บุลการี จิวเวลรี อคาเดมี (Bvlgari Jewelry Academy) เดิม ที่นับตั้งแต่เปิดตัวในปี ค.ศ. 2017 ได้อุทิศให้กับการฝึกอบรมช่างฝีมือรุ่นใหม่ ๆ ของบุลการีมาโดยตลอด
การเปิดส่วนขยายใหม่นี้ ทำให้แมนิแฟตทูรา บุลการี มีระบบนิเวศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ อันเป็นผลลัพธ์มาจากความมุ่งมั่นด้านนวัตกรรม ความยั่งยืน และการส่งต่อความรู้ความเชี่ยวชาญของแบรนด์ที่ผนึกรวมเป็นหนึ่งกับความเป็นเลิศของ Made in Italy
“แมนิแฟตทูรา บุลการี ในวาเลนเซีย ถือเป็นตัวแทนของวิสัยทัศน์แบบองค์รวมของแบรนด์สำหรับโรงงานการผลิตแห่งต่าง ๆ ซึ่งผสมผสานความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม การส่งต่อองค์ความรู้ และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน หมุดหมายสำคัญของบุลการีด้านกลยุทธการควบรวมกิจการแนวดิ่ง (vertical integration) มีเป้าหมายในการดูแลกระบวนการผลิตทั้งหมดภายในสถานที่ทำงาน ที่ส่งเสริมด้านนวัตกรรมและการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ด้วยศิลปินช่างฝีมือของเรามากกว่า 30 เชื้อชาติ แมนิแฟตทูรา บุลการีแห่งนี้ถือเป็นจุดบรรจบอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาของหลากหลายวัฒนธรรม ซึ่งขับเคลื่อนพลังด้วยความหลงใหลที่มีร่วมกันด้านความเป็นเลิศ การผนึกรวมผู้เชี่ยวชาญมากฝีมือและการทำงานด้วยจริยธรรม ยังสะท้อนถึงการเข้าถึงซึ่งความหรูหราหรือลักซ์ชัวรี ที่ซึ่งทุก ๆ สิ่ง และทุก ๆ คนได้มาเชื่อมโยงกันผ่านการเติบโตร่วมกันและการมอบกลับคืนสู่สังคม” ฌอง-คริสตอฟ บาแบง ซีอีโอแห่งบุลการี กล่าว
การขยายโรงงานการผลิตใหม่
เวลาเพียง 8 ปีหลังการเปิดครั้งแรกในปี ค.ศ. 2017 และเพียง 2 ปีครึ่งหลังจากการประกาศแผนงานขยายโครงการขนาดใหญ่ โรงงานแมนิแฟตทูราใหม่นี้ ได้เติบโตจากจำนวนการจ้างงาน 370 อัตราในปี ค.ศ. 2017 มาเป็น 1,100 อัตราในวันนี้ และมีเป้าหมายในการขยายจำนวนพนักงานมากกว่า 1,600 คน ภายในปี ค.ศ. 2029 และเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงหลังจากนั้น การขยายตัวครั้งนี้เป็นการก่อสร้างอาคารใหม่ 2 หลังซึ่งเชื่อมต่อกับศูนย์คอมเพล็กซ์ที่เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 2017 โดยอาคารหนึ่งหลังใช้ในการผลิต ขณะที่อีกอาคารเป็นที่ตั้งของ สคูโอลา บุลการี และทั้งสองอาคารเชื่อมต่อกับโครงการเดิมด้วยสะพานลอยด้านนอก ภายในส่วนขยายใหม่นี้มีพื้นที่ 1,000 ตารางเมตรซึ่งอุทิศให้กับ สคูโอลา บุลการี นับเป็นเครื่องยืนยันถึงความตั้งใจและการให้ความสำคัญอย่างไม่เสื่อมคลายของแบรนด์ในการส่งต่อองค์ความรู้และสืบทอดงานหัตถศิลป์อันล้ำเลิศ
การขยายโรงงานนี้นับเป็นโครงการสำคัญยิ่งที่ตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์กลยุทธการควบรวมกิจการแนวดิ่งของบุลการี เพื่อเสริมความมั่นใจในการเข้าถึงทั้งการกำกับดูแลและควบคุมกระบวนการผลิตเครื่องประดับทั้งหมด นับตั้งแต่การเสาะหาวัตถุดิบจนถึงผลงานสร้างสรรค์อันสมบูรณ์ ขณะเดียวกันก็ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนประเพณีแห่งงานช่างฝีมือสู่อนาคต ในฐานะผู้อุปถัมภ์ศิลปะงานช่างทอง เมซงเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง (High Jewelry Maison) แห่งนี้ ได้เสริมความเข้มแข็งให้กับความมุ่งมั่นสู่พรมแดนที่ซึ่งงานหัตถศิลป์อันแสนพิเศษได้รับการสืบทอดต่อกันมานับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19
การขยายตัวด้วยแนวทางความยั่งยืน
โรงงานการผลิตใหม่นี้ ได้รับการออกแบบด้วยแนวคิดความยั่งยืนอย่างสมบูรณ์ตามหลักการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกันก็รักษาพื้นที่โดยรอบและความหลากหลายเชิงชีวภาพเอาไว้ โดยการขยายโรงงานนี้ได้รวบรวมโซลูชั่นที่ครอบคลุมความต้องพลังงานของโรงงานถึง 50% และส่วนที่เหลือมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน 100% โดยเฉพาะอาคารใหม่ต่าง ๆ ซึ่งรวมไปถึงระบบเทคโนโลยีเพิ่มเติมที่ออกแบบมาเพื่อเป้าหมายของการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์แบบเดียวกับศูนย์การผลิตเดิม อาทิ สนามความร้อนใต้พิภพที่มอบพลังงานความร้อนได้ถึงประมาณ 800 กิโลวัตต์-ชั่วโมง สำหรับทำความร้อนและความเย็นผ่านเครื่องวัดภาคพื้นดินที่ขยายลึกลงไป 200 เมตร
ความมุ่งมั่นให้กับพลังงานหมุนเวียนนี้ยังขยายสู่ท้องฟ้า ผ่านการริเริ่มโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยแผงโซล่าเซลล์มากกว่า 4,100 แผง ที่ติดตั้งอยู่ด้านบนของอาคารกลางและพื้นที่จอดรถ ตั้งแต่หน่วยบำบัดอากาศไปจนถึงการควบคุมอุณหภูมิภายในอย่างแม่นยำในสภาพแวดล้อมที่ทำงาน รวมทั้งนโยบายงดใช้พลาสติก (plastic-free) ไปจนถึงกระบวนการบริหารจัดการน้ำ โดยทุก ๆ มิติของกระบวนการทำงานล้วนมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างสูงสุด
ส่วนขยายใหม่นี้ยังกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมซึ่งคล้ายกันกับโรงงานการผลิตที่มีอยู่เดิม สร้างขึ้นโดยการใช้นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและวัสดุที่มีผลกระทบต่ำ เพื่อให้บรรจบกับมาตรฐาน LEED GOLD Certification (Leadership in Energy and Environmental Design) ที่นับเป็นระบบการรับรองอาคารอันยั่งยืนที่เข้มงวดและมีชื่อเสียงสูงสุดของโลก ซึ่งเมซงเคยได้รับมาแล้วจาก แมนิแฟตทูรา ที่เปิดเมื่อปี ค.ศ. 2017
นอกจากนี้ แมนิแฟตทูรา บุลการียังได้สร้างมาตรฐานใหม่ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม การปกป้องสิ่งแวดล้อม และการดูแลห่วงโซ่อุปทานด้านวัตถุดิบทั้งกระบวนการผลิตของบริษัท นับตั้งแต่เดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2022 โรงงานการผลิตได้ใช้ทองที่มีประกาศนียบัตรทอง RJC CoC (Responsible Jewelry Council Chain of Custody) สำหรับการผลิตผลงานเครื่องประดับอัญมณีทั้งหมด ด้วยหมุดหมายสำคัญนี้ บุลการีประสบความสำเร็จในฐานะช่างอัญมณีที่รังสรรค์ผลงานทั้งหมด 100% ของแบรนด์ด้วยการใช้ทองที่ได้มาจากแหล่งผลิตซึ่งได้รับประกาศนียบัตรรับรองอย่างสมบูรณ์ นับเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมสูงสุดเท่าที่มี ณ ปัจจุบัน
ด้วยความทุ่มเทที่จะขยายขอบเขตของโรงงานในการสร้างสรรค์ผลลัพธ์เชิงบวกให้กับสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายเชิงชีวภาพ การบริหารจัดการเพิ่มเติมอื่น ๆ ยังประกอบไปด้วยการปลูกป่าทดแทนพื้นที่โดยรอบ 8,000 ตารางเมตร ด้วยพันธุ์ไม้พื้นถิ่นโดยความร่วมมือกับ Po and Orba River Park Authority โครงการนี้ยังริเริ่มสร้างสรรค์พื้นที่ที่ออกแบบมาเพื่อการพักผ่อนและนันทนาการของพนักงานบุลการี รวมถึงครอบคลุมชุมชนที่กว้างขวางมากขึ้น เช่นเดียวกับความร่วมมือกับผู้เลี้ยงผึ้งในท้องถิ่นสำหรับการติดตั้งรังผึ้ง 10 จุด ที่เป็นบ้านให้กับฝูงผึ้งถึงราว 1 ล้านตัว
การรับรองประกาศนียบัตรของสภาอัญมณีที่รับผิดชอบ (Responsible Jewelry Council) และองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO) อันเข้มงวดทำให้มั่นใจได้ถึงมาตรฐานต่าง ๆ ของแหล่งผลิตวัสดุ สุขภาพในที่ทำงาน และการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม โดยกรอบการทำงานแบบองค์รวมของแมนิแฟตทูรานี้ยังครอบคลุมถึงโครงการริเริ่มด้านความเป็นอยู่ที่ดี ที่ให้ความสำคัญทางด้านสุขภาพรวมทั้งความสมดุลของชีวิตและการทำงาน นับตั้งแต่การคัดกรองเชิงป้องกันด้านสุขภาพไปจนถึงแคมป์ฤดูร้อนสำหรับเด็ก ๆ และการมีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกขององค์กรไปจนถึงโปรแกรมการสัญจรอย่างยั่งยืน การเข้าถึงความร่วมมือนี้ยังช่วยให้มั่นใจได้ว่าโครงการริเริ่มเหล่านี้จะส่งมอบทั้งคุณประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมและประโยชน์ในเชิงปฏิบัติจริง
อนาคตแห่งการสืบต่อ
ด้วยการขยายตัวครั้งนี้ แมนิแฟตทูรายังได้ต้อนรับ สคูโอลา บุลการี ศูนย์การศึกษาที่สาธารณชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้เป็นแห่งแรกของเมซง ซึ่งให้ความรู้ด้านเครื่องประดับ และนำเสนอหลักสูตรวิชาชีพในสาขางานช่างทอง รวมถึงการประดับอัญมณีด้วยกล้องจุลทรรศน์ ผ่านการพัฒนาและบริหารจัดการภายใต้ความร่วมมือกับ TADS (Tarì Design School) ซึ่งเป็นศูนย์การฝึกอบรมงานช่างทองที่มีชื่อเสียงของ Centro Orafo Il Tarì in Marcianise โดยโรงเรียนแห่งนี้ออกแบบมาเพื่อถ่ายทอดทุกทักษะที่จำเป็นในการรังสรรค์ผลงานเครื่องประดับอัญมณีอันแสนพิเศษตั้งแต่เริ่มต้นวาดภาพร่าง โดยนักเรียนจะได้สืบทอดเทคนิคดั้งเดิมต่าง ๆ และเรียนรู้เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ร่วมไปกับวิธีการเชิงนวัตกรรมอันล้ำสมัยสูงสุด
ในฐานะหัวใจของโครงการนี้ สคูโอลา บุลการี ยังนับเป็นโรงเรียนแห่งแรกที่ตั้งอยู่ภายในโรงงานการผลิตเครื่องประดับอัญมณี บนพื้นที่ระหว่างอาคารใหม่และอาคารเดิม ซึ่งเปรียบดั่งสะพานเชิงสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงระหว่างอดีตและอนาคต รวมถึงเชื่อมต่อระหว่างองค์ความรู้ดั้งเดิมสู่ศิลปินช่างฝีมือเจเนอเรชันต่อ ๆ ไป เคียงข้างบุลการี จิวเวลรี อคาเดมี โปรแกรมที่ออกแบบขึ้นพิเศษสำหรับพนักงานช่างฝีมือรุ่นใหม่ ให้ความสำคัญกับเทคนิคแห่งงานหัตถศิลป์เฉพาะตัวในจักรวาลแห่งความล้ำเลิศของบุลการี ซึ่งนับเป็นการเสริมความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นให้กับความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการธำรงรักษาและส่งทอดตำนานแห่งงานช่างทองที่มีรากฐานจากความหลงใหลและความเชี่ยวชาญโดยแท้
“การธำรงรักษาและสร้างความก้าวหน้าให้กับศิลปะและงานฝีมือดั้งเดิม นับเป็นส่วนผสานสำคัญในความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของบุลการี ที่สคูโอลา บุลการี นักเรียนจะได้รับการฝึกอบรมและฝึกฝนโดยช่างทองระดับมาสเตอร์ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญเชิงวิชาการ และเหล่ามืออาชีพผู้เปี่ยมด้วยประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับอัญมณี การฝึกฝนเชิงปฏิบัติการและด้านทฤษฎีซึ่งได้รับการรับรองโดยกระทรวงศึกษาธิการของอิตาลีและตรงตามมาตรฐานยุโรป มอบโอกาสให้กับเหล่านักเรียนผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์สูงสุดในการสร้างการเติบโตด้านวิชาชีพของพวกเขาภายในโลกของบุลการีต่อไป โดยร่วมกับ บุลการี จิวเวลรี อคาเดมี ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มด้านการศึกษาใหม่ที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 2017 นับเป็นตัวแทนของทั้งการลงทุนที่เป็นรูปธรรมและในเชิงสัญลักษณ์ด้านอัจฉริยภาพและความสามารถเชิงศิลปะของ Made in Italy” คอรินน์ เลอ โฟลล์ (Corinne Le Foll) ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายจิวเวลรีแห่งบุลการี กล่าว
BVLGARI INAUGURATES ITS NEWLY EXPANDED PRODUCT FACILITY, THE LARGEST PRECIOUS JEWELERY MANUFACTURING SITE IN THE WORLD
A tribute to the values of Made in Italy: the Roman High Jeweler has significantly expanded its unique ecosystem of innovation, savoir-faire transmission and sustainability in the Italian goldsmith district of Valenza. A forward reaching project that aims to double production capacity by 2029, quadrupling it since 2017, investing in the expertise of talented generations of artisans and founding the Scuola Bvlgari, the first education center of the Maison open to the public.
Valenza, April 16th 2025 – Bvlgari inaugurates its newly expanded production facility in Valenza, now the largest single-branded jewelry manufacturing site in the world and a magnificent example of sustainability, not only in its structure but also in its operation. With an enlargement of nearly 19,000 sqm, the currently 33,000 sqm “Manifattura Bvlgari” will hire over 500 new craftsmen by 2029, creating new opportunities for present and future generations of talented artisans and perpetuating the genius and artistry of Made in Italy craftsmanship.
Sustainability is at the core of the project, which relies on renewable energy sources to ensure that the expansion’s operations are substantially carbon neutral. The site will also host the new Scuola Bvlgari, the first publicly accessible Bvlgari training school focused on jewelry, which joins the existing Bvlgari Jewelry Academy, dedicated since 2017 to the training of newly-hired Bvlgari craftsmen.
This all makes Manifattura Bvlgari a unique ecosystem of its kind, the result of the brand’s commitment to innovation, sustainability and transmission of savoir- faire united with the excellence of Made in Italy.
“Bvlgari Manifattura in Valenza embodies the Brand’s holistic vision for manufacturing sites, combining environmental responsibility, knowledge transmission, and employee well-being. A milestone in Bvlgari’s vertical integration strategy, aiming to oversee the entire production process within a workplace that fosters continuous innovation and improvement. With artisans from more than 30 different nationalities, Manifattura Bvlgari is a vibrant crossroads of cultures, fueled by a shared passion for excellence. This synergy of brilliant people and virtuous practices reflects an overarching approach to luxury, where everything and everyone is interconnected through mutual growth and giving back.” said Bvlgari CEO Jean-Christophe Babin.
THE NEW MANIFATTURA EXPANSION
Eight years after its initial opening in 2017, and just two and a half years after announcing its large-scale expansion plan, the new Manifattura has grown from 370 jobs in 2017 to 1,100 today, with the goal of exceeding 1,600 employees by 2029 and doubling its production capacity by then. The enlargement consisted in the construction of two new buildings joining the complex inaugurated in 2017: one dedicated to production while the other housing the Scuola Bvlgari, both linked by an external suspended bridge to the existing structure. In the new extension, the 1,000 sqm dedicated to the Scuola Bvlgari are a testament to the brand’s unfading focus on know-how transmission and excellent craftmanship.
The expansion is a far-reaching project that underscores Bvlgari’s strategic vision of vertical integration, ensuring oversight of the entire jewelry production process—from raw material sourcing to the final creation—while also propelling artisanal tradition into the future. As patron of goldsmitting art, the High Jewelry Maison further strengthens its commitment to a territory where exceptional craftsmanship has been passed down since the early 19th century.
EXPANDING WITH A SUSTAINABLE APPROACH
The new site has been designed with a fully sustainable approach, following principles of energy efficiency to drastically reduce its environmental footprint while preserving the surrounding territory and its biodiversity. The factory expansion incorporates solutions that cover up to 50% of the facility’s energy needs, with the remainder supplied by 100% renewable energy sources. Specifically, the new buildings include additional technological systems designed to maintain the same Carbon Footprint of the original complex, such as geothermal field providing approximately 800 kWh of thermal energy for heating and cooling through 100 ground probes extending 200 meters deep.
This commitment to renewable energy extends skyward through an ambitious solar energy initiative with more than 4,100 photovoltaic panels installed atop the central building and parking areas. From optimized air treatment units to precisely controlled work environment temperatures, from plastic-free policies to water management processes, every aspect of operations is calibrated to minimize environmental impact while maximizing efficiency.
The new extension seamlessly integrates into the surrounding environment, just like the existing facility, and has been built using innovative technologies and low-impact materials to achieve LEED GOLD certification (Leadership in Energy and Environmental Design)—the world’s most rigorous sustainable building standard—already earned by the Manifattura opened in 2017.
In addition, Manifattura Bvlgari established a new benchmark in corporate social responsibility, environmental protection, and supply chain custody of raw materials throughout the entire production process: since January 2022, it has exclusively used RJC CoC (Responsible Jewelry Council Chain of Custody) certified gold for all its jewelry creations. With this pivotal milestone, Bvlgari achieved a record as the first jeweler to craft 100% of its creations using only gold from fully certified sources, in full adherence of the highest industry standards available.
With a commitment that extends beyond its walls to create a positive impact on the territory and biodiversity, additional interventions comprise the reforestation of a plot of 8,000 square meters external to fences with native tree species in agreement with the Po and Orba River Park Authority. This initiative also involves the creation of areas designated for the leisure and recreation of Bvlgari employees and the broader community as well as a collaboration with a local beekeeper for the installation of 10 hives, housing around 1 million bees.
While Responsible Jewelry Council and ISO rigorous certifications ensure high standards for material sourcing, workplace health and safety and environmental management, Manifattura’s holistic framework also encompasses employee wellbeing initiatives that address both health and work-life balance. From preventive screenings to summer camps for children, from a corporate concierge to sustainable mobility programs, a collaborative approach ensures that these initiatives deliver both environmental benefits and practical advantages.
THE FUTURE OF TRADITION
With the expansion, Manifattura welcomes Scuola Bvlgari, the Maison’s first publicly accessible education center entirely dedicated to jewelry, offering professional courses in goldsmithing and gemstone setting with microscope. Developed and managed in partnership with TADS (Tarì Design School)—the renowned goldsmith training center of Centro Orafo Il Tarì in Marcianise—the school is designed to impart all the skills necessary to craft exceptional jewelry creations from scratch. Students will inherit traditional techniques and learn to apply them alongside the most innovative methodologies.
As the beating heart of the project, it is the first school within a jewelry manufacturing facility, positioned in the space between the new building and the existing one, a symbolic bridge between past and future, connecting traditional know-how, and the next generation of artisans.
Alongside the Bvlgari Jewelry Academy, a highly specialized program dedicated to new employees and focused on the specific craftmanship techniques of the Bvlgari universe of excellence, Scuola Bvlgari further strengthens the brand’s commitment to preserving and passing down a goldsmithing legacy built on passion and expertise.
“Safeguarding and advancing traditional arts and crafts is an integral part of Bvlgari’s identity. At Scuola Bvlgari, students will be trained by master goldsmiths, academic experts, and established professionals in the jewelry industry. This practical and theoretical training, recognized by the Italian Ministry of Education and aligned with European standards, will offer the most talented students the opportunity to further their professional growth within the Bvlgari world. Together with the Bvlgari Jewelry Academy, launched in 2017, this new educational initiative represents both a concrete and symbolic investment in the genius and artistry of Made in Italy.” stated Corinne Le Foll, Bvlgari Jewelry Managing Director.
