ประกายแห่งแสงแรกของช่างศิลป์เครื่องประดับแห่งแสงตะวัน สู่ผลงานจิวเวลรี่ชั้นสูงใหม่ปี 2025 ของเมซง FRED

นับตั้งแต่ปี 1936 เมซง FRED ได้ถ่ายทอดพลังอันเจิดจ้าและความหลงใหลในสีสันของอัญมณีอย่างมีเอกลักษณ์ จากรากฐานของมรดกนี้ เมซงได้เฉลิมฉลองแสงแรกของช่างศิลป์เครื่องประดับแห่งแสงตะวัน ด้วยการเผยโฉมผลงานจิวเวลรี่ชั้นสูงใหม่ 19 ชิ้นงาน ผลงานอันทรงคุณค่าเหล่านี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อสดุดีแด่อัตลักษณ์อันโดดเด่นของเมซง ผ่านสองเรื่องราวที่น่าหลงใหลของ 1936 และ Soleil d’Or Sunrise

ในปี ค.ศ. 1936 ด้วยจิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญและความเป็นผู้บุกเบิกในวัย 28 ปี เฟร็ด ซามูเอล (Fred Samuel) ได้ก่อตั้ง   เมซงที่ไม่เหมือนใคร บนถนนรูว์ รอแยล (Rue Royale) ในกรุงปารีส เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์อันไร้ขอบเขต เขาเป็นผู้บุกเบิกแนวทางใหม่ในการสร้างสรรค์เครื่องประดับที่ร่วมสมัย ปรับเปลี่ยนได้และเต็มไปด้วยความสุข ด้วยความหลงใหลในไข่มุกและอัญมณีสีสันสดใส เขาผสมผสานสิ่งเหล่านั้นเข้ากับสุนทรียะร่วมสมัยที่สะท้อนความต้องการสร้างสรรค์เครื่องประดับที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา เคลื่อนไหวอย่างอิสระ และสวมใส่ได้จริงในทุก ๆ วัน แรงบันดาลใจของเขาในทุกช่วงเวลาถูกขับเคลื่อนด้วย องค์ประกอบสำคัญเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งเปรียบเสมือนมิวส์ และกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมซง FRED นั่นคือ แสง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แสงตะวัน

ความกล้าและอิสระ สีสันและแสงอาทิตย์ รวมถึงเส้นสายอันอ่อนช้อย  ล้วนเป็นองค์ประกอบอันเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกถ่ายทอดอย่างงดงามในคอลเล็กชั่นเครื่องประดับชั้นสูงล่าสุด โดยแบ่งออกเป็นสองบทแห่งความสร้างสรรค์ ได้แก่ 1936 และ Soleil d’Or Sunrise ที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านจิวเวลรี่ทั้ง 19 ผลงาน สะท้อนถึงจุดเริ่มต้นของเมซง และลายเซ็นอันเป็นเอกลักษณ์ที่เปล่งประกายตลอดเกือบ 90 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนั่นคือ FRED ช่างศิลป์เครื่องประดับแห่งแสงตะวัน

บทที่ 1: 1936

เฟร็ด ซามูเอล เริ่มต้นเส้นทางสู่โลกแห่งเครื่องประดับจากครอบครัวของเขา ซึ่งมีชื่อเสียงในธุรกิจค้าขายอัญมณี ตั้งแต่วัยเยาว์ เขาหลงใหลในแสงระยับของอัญมณีที่ส่องประกายภายใต้ดวงอาทิตย์ในอาร์เจนตินา และยังคงสานต่อความหลงใหลนี้ต่อที่กรุงปารีส ด้วยการเข้าฝึกฝนร่วมกับพี่น้องตระกูลเวิร์ม (Worms Brothers) ผู้เชี่ยวชาญและจัดจำหน่ายไข่มุกและอัญมณีล้ำค่า ภายใต้คำแนะนำของพวกเขา เฟร็ด ซามูเอลได้ซึมซับ “ความรักในศาสตร์แห่งการค้าอัญมณี และยิ่งไปกว่านั้นคือ ความรักที่มีต่ออัญมณีที่เก็บงำแสงไว้ภายใน และส่องสว่างออกมาอย่างงดงาม” ต่อมาเขาได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไข่มุก โดยเฉพาะไข่มุกเลี้ยง ซึ่งเขามองเห็นศักยภาพก่อนที่ความนิยมจะมาถึง ด้วยแรงบันดาลใจจากครูผู้ชี้ทาง เฟร็ด ซามูเอลจึงเลือกถนนรูว์ รอแยล เป็นสถานที่ตั้งบูติกแรกของเขาเนื่องด้วยความงดงามของซุ้มโค้งแบบอาเขต และเขายังได้เปิดสำนักงานของเขาในมุมที่ซ่อนตัวระหว่างเงาและแสงใต้ซุ้มโค้งหนึ่งเหนือบูติก มากกว่ารายละเอียดการตกแต่งที่เรียบง่าย ซุ้มโค้งสไตล์อาร์ตเดโคนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเมซง FRED เนื่องจากสะท้อนถึงความงามของสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและ เฟรนช์ริเวียร่า สถานที่ซึ่งเฟร็ด ซามูเอลมีความผูกพันเป็นพิเศษ และซุ้มโค้งนี้กลายเป็นลวลลายอันเป็นเอกลักษณ์ของเมซงและเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบทั้ง 4 เซ็ตของคอลเล็กชั่นเครื่องประดับชั้นสูง 1936

ซุ้มโค้ง ซึ่งเป็นทั้งธีมหลักที่เชื่อมโยงผลงานเข้าด้วยกันและองค์ประกอบการออกแบบอันโดดเด่น ได้เผยเสน่ห์หลากหลายมุมมองผ่านผลงานทั้งสิบชิ้นงานในคอลเล็กชั่นเครื่องประดับชั้นสูง 1936 ทุกรายละเอียดของเส้นสายอาร์ตเดโคในแต่ละเซ็ตแสดงความพลิ้วไหวของรูปทรงเรขาคณิตที่เปลี่ยนจากความสมมาตรอันสมบูรณ์อันประณีต สู่ความไม่สมมาตรอย่างมีชั้นเชิง หรือเรียงร้อยกันเป็นรูปแบบกราฟิกที่น่าหลงใหล และเพื่อเป็นการสดุดีแก่อัญมณี ซึ่งเป็นแหล่งแรงบันดาลใจของเฟร็ด ซามูเอลเสมอมา ความร่วมสมัยในผลงานเหล่านี้ได้รับการเติมเต็มความงดงามผ่านรัตนชาติในสามเฉดสีและไข่มุกอะโกย่า (Akoya Pearls) อย่างละเมียดละไม

เซ็ตแรกเผยประกายอันเจิดจรัสของมรกตโคลอมเบีย ซึ่งได้รับการคัดสรรจากเหมืองมูโซอันเลื่องชื่อ มรกตเม็ดงามนี้ถูกประดับไว้อย่างประณีตบนสร้อยคอในเวิ้งโค้งอันสง่างามของเส้นสายโค้งที่หงายขึ้น โดยอัญมณีเม็ดกลางอันล้ำค่านี้มีน้ำหนักกว่า 4 กะรัต เปล่งประกายด้วยเฉดสีเขียวอันลึกล้ำที่ยิ่งโดดเด่นเมื่อขับกับเส้นสายสถาปัตยกรรมประดับเพชรเจียระไนทรงบาเก็ตและทรงกลม มรกตอีกเม็ดหนึ่งที่มีน้ำหนักและความเจิดจรัสใกล้เคียงกันถูกประดับอย่างโดดเด่นบนแหวนที่ตัวเรือนออกแบบในสไตล์โซลิแทร์ที่มีลวดลายของซุ้มโค้งเรียงรายกันอย่างสง่ามงาม ลวดลายกราฟิกอันโดดเด่นนี้ยังปรากฏอีกครั้งบนต่างหู ที่ประดับด้วยอัญมณีขนาดใหญ่สองเม็ดอย่างวิจิตรตระการตา

สำหรับเซ็ตที่สองของคอลเล็กชั่นเครื่องประดับชั้นสูง 1936 เมซง FRED ได้คัดสรรแซปไฟร์ทรงคุชชั่นจากศรีลังกา พร้อมตีความเส้นสายโค้งขึ้นใหม่ในรูปแบบของห้องโถงอันหรูหรา ซึ่งรายล้อมด้วยน้ำตกแห่งเพชรผ่านการฝังอัญมณีด้วยเทคนิคแบบเกรนและ หนามเตย ลวดลายนี้เปล่งประกายความอ่อนช้อยด้วยโครงสร้างที่ยืดหยุ่นและพลิ้วไหวอย่างเป็นอิสระ โดยเผยลวดลายลงบนสร้อยคอทองคำขาวที่ประดับด้วยแซปไฟร์รอยัลบลู 7.13 กะรัตและเพชรระยิบระยับ รวมถึงต่างหูที่ประดับด้วยอัญมณีสองเม็ดอันโดดเด่น และแหวนสีน้ำเงินเข้มที่ประดับแซปไฟร์หนักกว่า 6 กะรัตอย่างสง่างาม

ทับทิมโมซัมบิกเปล่งประกายในเซ็ตที่สาม ด้วยเฉดสีแดงก่ำอันทรงพลัง หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘สีเลือดนกพิราบ’โดดเด่นบนเส้นโค้งของซุ้มที่เรียงรายและซ้อนชั้นอย่างงดงามบนสร้อยคอโชกเกอร์ประดับเพชรพาเว่ และเสริมความงดงามสมบูรณ์ด้วยแหวนและต่างหูที่ทั้งคู่ประดับทับทิมทรงรี หนักสูงสุดถึง 3 กะรัต

ในคอลเล็กชั่นเครื่องประดับชั้นสูง 1936 ยังได้รังสรรค์ผลงานเพื่อสดุดีถึงความงดงามของไข่มุก ซึ่งเป็นอัญมณีที่เฟร็ด ซามูเอลหลงใหลตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของเส้นทางการทำงานในวงการเครื่องประดับ โดยถ่ายทอดออกมาเป็นสร้อยคอยาวสุดหรูที่สะท้อนนิยามแห่งความสง่างามอย่างแท้จริง ประดับด้วยไข่มุกอะโกย่าแสนละมุน เผยประกายชมพูอ่อนอย่างโดดเด่น ในขณะที่ตัดผ่านส่วนเส้นสายโค้งที่เรียงรายด้วยการประดับเพชรทรงกลมพาเว่

บทที่ 2: Soleil d’Or Sunrise

นับแต่แรกเริ่มแห่งแรงบันดาลใจ ดวงอาทิตย์และแสงสว่างได้เป็นแหล่งพลังงานแห่งความคิดสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัดสำหรับ   ช่างศิลป์เครื่องประดับแห่งแสงตะวัน ในปี ค.ศ. 1977 เมซง FRED มีโอกาสได้ค้นพบเพชรสีเหลืองล้ำค่าขนาดมหึมา น้ำหนักกว่า 100 กะรัตที่เปล่งประกายเจิดจ้าราวกับแสงอาทิตย์สถิตอยู่ภายในอัญมณี การค้นพบเพชรสีเหลืองอันล้ำค่านี้บรรจบกันได้อย่างสมบูรณ์แบบกับวิสัยทัศน์ของ เฟร็ด ซามูเอล ผู้มุ่งสร้างสรรค์เครื่องประดับที่เจิดจรัสเหนือกาลเวลา อัญมณีเม็ดนี้ได้รับการขนานนามว่า ‘ดวงรวีสีทอง (Soleil d’Or)’ เพื่อสะท้อนพลังของแสงอันอบอุ่นที่สว่างไสวจากภายในได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในปี ค.ศ. 2021 Soleil d’Or ได้หวนคืนสู่เมซงอีกครั้ง และยังคงสว่างไสวพร้อมจุดประกายแรงบันดาลใจไม่รู้จบ และในปีนี้ เมซง FRED ได้นำความเจิดจรัสของแสงอาทิตย์เพชรล้ำค่าแห่งเมซง มาถ่ายทอดลงในคอลเล็กชั่นเครื่องประดับชั้นสูง Soleil d’Or Sunrise ซึ่งได้รับการรังสรรค์ให้เผยประกายความงามได้ในทุกช่วงเวลาแห่งชีวิต

ผลงานการสร้างสรรค์ทั้ง 9 ชิ้นในคอลเล็กชั่นจิวเวลรี่ชั้นสูงนี้ ถ่ายทอดเส้นสายกราฟิกร่วมสมัยและเฉดสีอันหลากหลายของดวงอาทิตย์ที่สะท้อนผ่านสองช่วงเวลาสุดตราตรึงของวัน ตั้งแต่แสงอุ่นละมุนยามรุ่งอรุณ สู่แสงที่เจิดจ้าเมื่อดวงอาทิตย์ไต่ถึงจุดสูงสุดบนฟากฟ้า ด้วยการถ่ายทอดองศาอันอ่อนช้อยของแสงอาทิตย์ผ่านดีไซน์ที่พริ้วไหวดั่งผืนผ้าอันวิจิตร เครื่องประดับแต่ละชิ้นระยิบระยับแปรเปลี่ยนไปตามทุกการเคลื่อนไหว เผยผิวให้เปล่งประกายด้วยประกายแสงอันละเอียดอ่อน

ด้วยการขับเน้นประกายระยิบระยับของเพชรสีเหลืองที่ฝังแบบเกรน และเพชรสีขาวที่ฝังแบบหนามเตย แสงแรกแห่งรุ่งอรุณจึงเผยโฉมอย่างอ่อนช้อยบนสร้อยคอแบบ Bib Necklace ที่เส้นสายอ่อนละมุนของตัวเรือนโอบแนบช่วงทรวงอกอย่างอ่อนโยน ใจกลางของผลงานอันเจิดจรัสชิ้นนี้ โดดเด่นด้วยเพชรแฟนซีสีเหลืองเข้ม หนัก 2 กะรัต เพื่อเป็นการสดุดีต่อ Soleil d’Or อัญมณีที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของเมซง แม้จะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ แต่แสงแห่งดวงตะวันกลับไม่เคยหยุดแปรเปลี่ยน แรงบันดาลใจดังกล่าวถูกถ่ายทอดผ่านแหวนและต่างหูที่ตัวเรือนรังสรรค์ขึ้นจากทองคำสีเยลโลว์โกลด์และสีไวท์โกลด์ พร้อมประดับเพชรสีขาวอย่างประณีต สะท้อนถึงความหลงใหลของเมซง FRED ที่มีต่อเครื่องประดับดีไซน์ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ซึ่งกลายมาเป็นอีกหนึ่งความเชี่ยวชาญอันเป็นเอกลักษณ์ของเมซง เครื่องประดับแต่ละชิ้นสามารถสวมใส่ได้หลากหลายรูปแบบ เปิดโอกาสให้ผู้สวมใส่รังสรรค์ดวงอาทิตย์ของตนเอง โดยเพชรสีขาวทรงเรเดียนท์คัทเปล่งประกายอยู่จุดศูนย์กลาง สอดรับกับความปรารถนาเฉพาะบุคคล และปิดท้ายด้วย     เข็มกลัดที่ช่วยเสริมความระยิบระยับให้กับเซ็ตเครื่องประดับอันล้ำค่านี้

ประกายแสงระยิบระยับของดวงอาทิตย์เมื่ออยู่ในจุดสูงสุดได้รับการถ่ายทอดผ่านงานออกแบบในรูปแบบของสร้อยคอ ต่างหูที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ และแหวน โดยแต่ละชิ้นประดับด้วยเพชรพาเว่ในดีไซน์ที่ถ่ายทอดความพลิ้วไหวและประกายระยิบระยับของแสงอย่างงดงาม และในแต่ละผลงานยังโดดเด่นด้วยการประดับเพชรสีขาวเม็ดเดี่ยวตรงกลาง พร้อมสะท้อนความ      สง่างามของแหวนทรงลูกบอลอีกวงอันอ่อนช้อยและเปี่ยมด้วยมิติแห่งความงาม เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงการที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงในทุก ๆ วัน สร้อยคอถูกถ่ายทอดผ่านลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์นี้อีกครั้ง ภายใต้แนวคิดของเครื่องประดับชั้นสูงที่ออกแบบให้เหมาะสมกับการสวมใส่ในทุกช่วงเวลาของชีวิต

ในปี ค.ศ. 1936 เฟร็ด ซามูเอล ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ของเขาเกี่ยวกับเครื่องประดับที่ทันสมัย อิสระ และเต็มไปด้วยแสงสว่างเป็น   ครั้งแรก เกือบ 9 ทศวรรษต่อมา ความหลงใหลในแสงและสีสันของเขายังคงสะท้อนออกมาในผลงานเครื่องประดับชั้นสูงใหม่ในครั้งนี้ที่เส้นสายร่วมสมัยและหลากหลายมาบรรจบกับสุนทรียศาสตร์ของความเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยเสน่ห์ของแค่ละชิ้นงานที่พลิ้วไหว ซึ่งสะท้อนความสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติด้วยลักษณะเฉพาะอันเป็นเอกลักษณ์ที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความสุขของ FRED ช่างศิลป์เครื่องประดับแห่งแสงตะวัน

Fred Samuel, A Jeweler’s, Editions du Rocher, 1992 (2nd Flammarion’s edition, 2022).